ประโยชน์น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว แหล่งรวมคุณประโยชน์ สรรพคุณของคุณค่าสารอาหารสำคัญเพื่อสุขภาพที่คุณรัก มอบเป็นของขวัญปีใหม่
น้ำมันจมูกข้าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากจมูกข้าวดิบ ซึ่งเป็นส่วนที่ได้จากการขัดข้าวกล้องให้เป็นข้าวสาร จึงมีคุณค่าทางอาหารสูง นอกจากนี้ยังสามารถสกัดสารอาหารอื่นที่มีอยู่ในน้ำมันรำดิบ เพื่อใช้เป็นสารเสริมสุขภาพและเครื่องสำอางได้ น้ำมันจมูกข้าวเป็นน้ำมันที่ได้จาก กระบวนการพิเศษในการสกัดเอาสารสำคัญที่มีประโยชน์นานาชนิดซึ่งมีอยู่ในส่วนเอมบริโอ (Embryo) จึงอุดมด้วยสารสำคัญทางธรรมชาติ และมีคุณค่าสูงต่อร่างกาย
ส่วนประกอบหลักที่มีประโยชน์สูงสุดที่อยู่ในน้ำมันจมูกข้าว คือ สารแกมม่าโอไรซานอล ซึ่งผลิตภัณฑ์น้ำมันจมูกข้าวที่ดีควรจะมีปริมาณของสารแกมม่าโอไรซานอล ในปริมาณที่สูงต่อแคปซูล และต้องผ่านกระบวนการสกัดที่ได้มาตรฐาน ซึ่งต้องบรรจุภายในแคปซูลแข็งที่เรียกกว่า Licap เพื่อป้องกันความชื้น เพื่อช่วยให้รักษาคุณสมบัติของสารประกอบหลักได้อย่างเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม
คุณประโยชน์ของสารแกมม่าโอไรซานอล
- แกมม่าโอไรซานอล (Gamma-Oryzanol)
มีฤทธิ์ในการลดระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ทำให้ลดการตีบตันของหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และยังมีฤทธิ์ในการลดความเครียด และรักษาอาการผิดปกติของสตรีวัยทอง นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ และยังป้องกันแสงยูวีได้ ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นและต้านการอักเสบ สารชนิดนี้มีความปลอดภัยสูงมาก ซึ่งหากผลิตภัณฑ์น้ำมันจมูกข้าว แกมม่าโอไรซานอลเป็นส่วนผสมของกรดเฟอรูลิค, เอสเตอร์ของสเตอรอลและแอลกอฮอล์ สกัดได้จากน้ำมันจมูกข้าวและจมูกข้าว ซึ่งมีผลต่อร่างกายหลักๆ ดังนี้ คือ
1. ระดับไขมันในเลือดสูง
จากการศึกษาในคนการใช้แกมมาโอไรซานอลในการช่วยลดระดับไขมันในเลือดพบว่า กลุ่มคนไข้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูงเมื่อได้รับแกมม่าโอไรซานอล ทำให้ระดับคลอเลสเตอรอลรวม และระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลงและยังเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)
เมื่อทราบสารสำคัญในน้ำมันจมูกข้าวแล้วเรามาทราบถึงข้อมูลของโคเลสเตอรอลบ้างโคเลสเตอรอล เป็นไขมันชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง และเป็นส่วนประกอบสำคัญของผนังเซลล์ในร่างกาย และเป็นสารตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนต่างๆนอกจากนี้ยังพบได้ในกระแสเลือด ถ้ามีแต่พอเพียงก็จะเป็นประโยชน์ แต่ถ้ามีโคเลสเตอรอลมากผิดปกติก็จะมีโทษตามมา โดยโคเลสเตอรอลนี้จะไปพอกตามหลอดเลือดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมองและหลอดเลือดส่วนปลาย ทั้งนี้ในระยะแรกจะไม่มีอาการใดๆให้เห็นเลย ถ้าไม่มีการตรวจวัดโดยการเจาะเลือดหรือตรวจสอบ แต่จะแสดงอาการให้เห็นชัดเจน เมื่อโคเลสเตอรอลพอกมากขึ้นจนอุดตันทางเดินของหลอดเลือด ก่อให้เกิดโรคต่างๆเช่น โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หัวใจวาย โรคหลอดเลือด สมองตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งถึงจุดนั้นก็ยากที่จะเยียวยาให้หายเป็นปกติ นอกจากนี้ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆเช่น เพศชาย อายุมากขึ้น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน ประวัติโรคหัวใจในครอบครัว หรือสูบบุหรี่ ก็จะเร่งให้เกิดโรคของหลอดเลือดเร็วกว่าปกติ
โคเลสเตอรอลมี 2 ชนิดคือ
1. โคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) ซึ่งเป็นตัวการที่จะไปจับตัวพอกพูนอยู่ตามหลอดเลือด และเป็นต้นเหตุของอาการหลอดเลือดตีบตัน ซึ่งทำให้เกิดโรคต่างๆ
2. โคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) เป็นเสมือนเรือขุด ที่จะไปเอาไขมันที่พอกตัวอุดตันหลอดเลือดอยู่กลับ ไปทำลายเผาผลาญที่ตับ โคเลสเตอรอลชนิดนี้ยิ่งมีมากยิ่งดี และจะช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
*****ไขมันอีกชนิดที่มีผลร้ายต่อสุขภาพคือไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งปัจจุบันมีข้อมูลบ่งชี้ว่าปัจจัยเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมีระดับโคเลสเตอรอล HDL ต่ำ
อาจมีคนสงสัยว่าไขมันสูงเท่าไรจึงจะเกิดอันตราย ในภาวะไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะ โคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด จึงควรตรวจระดับไขมันในเลือดเพื่อการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
ตารางแสดงระดับไขมันในเลือด
ชนิดไขมันในเลือด เหมาะสม เริ่มอันตราย อันตราย
(มก./ดซล.)
- โคเลสเตอรอลรวม น้อยกว่า 200 200 ขึ้นไป 240 ขึ้นไป
- โคเลสเตอรอลชนิดร้าย น้อยกว่า 130 130 ขึ้นไป 160 ขึ้นไป
- โคเลสเตอรอลชนิดดี มากกว่า 45 น้อยกว่า 45 น้อยกว่า 35
- ไตรกลีเซอไรด์ น้อยกว่า 150 150 ขึ้นไป 200 ขึ้นไป
อันตรายของโคเลสเตอรอล คือ เป็นสาเหตุของหลอดเลือดตีบตันโดยโคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) ในกระแสเลือดแดงจะพอกตัวที่ผนังหลอดเลือดก่อให้เกิดคราบไขมัน และหินปูนทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบตัน
กระบวนสะสมตัวของคราบไขมันและการที่คราบหินปูนแตกออกหลุดเข้าไปในกระแสเลือดอย่างเฉียบพลัน ส่งผลร้ายแรงให้เกิดอาการหัวใจวายถึงขั้นเสียชีวิตได้กระบวนการก่อตัวของคราบหินปูนในหลอดเลือด
1. โคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) ในกระแสเลือดพอกตัวที่ผนังหลอดเลือดแดง
2. ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายส่งเม็ดเลือดขาวชนิดมาโครฟาร์จมากินโคเลสเตอรอล มาโครฟาร์จที่อ้วนพอง กลายเป็นเซลล์โฟม
3. เซลล์โฟมสะสมตัวเป็นส่วนประกอบหลักของคราบหินปูน
4. เพื่อรักษาความเรียบมันของผนังหลอดเลือดแดง เซลล์กล้ามเนื้อเรียบจะสร้างปลอกหุ้มคราบหินปูนไว้
5. เซลล์โฟมในคราบหินปูนจะหลั่งสารเคมีที่ทำให้ปลอกหุ้มอ่อนแอ
6. ถ้าปลอกหุ้มแตก คราบหินปูนจะแทรกเข้าสู่กระแสเลือดก่อให้เกิดการสร้างลิ่มเลือด ที่สามารถขัดขวางการไหลเวียนของเลือดได้ อาการหัวใจวาย ส่วนใหญ่เกิดในเส้นเลือดแดงที่ถูกปิดกั้นไปกว่าร้อยละ50 และบริเวณที่มีคราบหินปูนสะสมใหม่จะมีโอกาสที่จะเกิดรอยแตกได้มากกว่า
2. กลุ่มอาการของหญิงวัยหมดประจำเดือน
การรายงานว่าเมื่อกลางปีค.ศ 1950 มีการแยก การสกัด การทำให้บริสุทธิ์ของแกมม่าโอไรซานอล ในประเทศญี่ปุ่นคนญี่ปุ่นใช้สารตัวนี้ในการักษาทางยาตั้งแต่ปีค.ศ1962 สารตัวนี้ถูกใช้ในการรักษาอาการวิตกกังวล ในปีค.ศ1970 ค้นพบว่า สารตัวนี้รักษากลุ่มอาการของหญิงวัยหมดประจำเดือน และปลายปี ค.ศ1980 ได้รับการยอมรับในการใช้รักษาระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
แกมมาโอไรซานอลถูกพิสูจน์แล้วว่า มีประสิทธิภาพในการรักษากลุ่มอาการของหญิงวัยหมดประจำเดือน เช่น อาการร้อนวูบวาบ และกลุ่มอาการชราภาพ มีรายงานฉบับหนึ่งพบว่าประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้มีอาการของวัยหมดประจำเดือนลดลงถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งจะแกมมาโอไรซานอลจะมีกลไกในการออกฤทธิ์ คือ ลดการหลั่งฮอร์โมนลูติไนซิ่ง
จากต่อมพิทูอิทาลี และเพิ่มการปลดปล่อยฮอร์โมนเอนโดฟินจากสมองส่วน ไฮโปธาลามัสแต่ผลทั้งหมดนี้ไม่สำคัญมากเท่ากับผลที่ได้รับในการทดลองทางคลีนิคที่เราต้องการ
3. การเกิดกรดในลำไส้
แกมม่าโอไรซานอลถูกนำมาใช้ในการรักษาปัญหาโรคแผลในกระเพาะอาหาร โดยการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทควบคุมการหลั่งกรดให้ผิดไปจากเดิม ที่เคยหลั่งกรดออกมามากก็ทำให้มีการหลั่งน้อยลงในระบบย่อยอาหารปกติ
4. การเสริมสร้างร่างกาย
แกมม่าโอไรซานอลถูกใช้ในการช่วยเสริมสร้างร่างกายแต่จะถูกควบคุม ให้ดีขึ้นเล็กน้อยในการศึกษาในคนแต่ก็ยังคงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่ามีคุณประโยชน์ในเรื่องนี้
5. การใช้ในด้านอื่นๆ
แกมม่าโอไรซานอลมีผลต่อการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) และระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine system) มีการรายงานในเรื่องเหล่านี้ประปราย ส่วนการศึกษาแกมม่าโอไรซานอลในสัตว์ทดลองมีผลเพิ่มการหลั่งนอร์อีพิเนฟรีน (norepinephrine) การศึกษาแกมม่าโอไรซานอลในคนมีผลยับยั้งการหลั่งระบบฮอร์โมน TSHในคนไข้ที่เป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย (hypothyroidism) มีผลโดยตรงต่อสมองส่วนไฮโปธาลามัส โดยรวมแล้วความสำคัญของผลการศึกษา เหล่านี้มีมากเลยในการทำการทดสอบในทางคลินิก
การศึกษาแกมม่าโอไรซานอลในผู้ฝึกออกกำลังกาย พบว่า ขนาดการกินที่เหมาะสมคือ 500 มิลลิกรัมต่อวัน การใช้แกมม่าโอไรซานอลยังไม่มีข้อห้ามใช้อย่างเด่นชัด ส่วนการใช้ในหญิงตั้งครรภ์มีความปลอดภัยการใช้ในระยะให้นมบุตรอาจทำให้น้ำนมหยุดไหลได้ แกมม่าโอไรซานอลไม่ทำให้เกิดกลายพันธุ์ ไม่ทำให้เกิดการยับยั้งสายโครโมโซม ไม่ทำให้เกิดมะเร็ง
ประโยชน์ของน้ำมันจมูกข้าว
- ลดโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย
สารธรรมชาติในน้ำมันจมูกข้าวหลายชนิด ได้แก่ แกมม่าโอไรซานอล วิตามินอี-กลุ่มโทโคไตรอีนอล ไฟโตสเตอรอลและกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3-6-9 มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) รวมทั้งไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ในร่างกายนอกจากนั้นแกมม่า-โอไรซานอล ยังช่วยคงระดับหรือเพิ่มโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ในร่างกายอีกด้วย
- ป้องกันโรคหัวใจและโรคร้ายที่เกิดจากหลอดเลือดตีบตัน
โคเลสเตอรอลเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัวและตีบตัน การลดโคเลสเตอรอลจึงช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดได้ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย โรคหลอดเลือดตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น
- ป้องกันโรคมะเร็ง
น้ำมันจมูกข้าว นับเป็นน้ำมันที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติสูงที่สุดชนิดหนึ่ง ได้แก่ วิตามินอี-กลุ่มโทโคฟีนอลและกลุ่มโทโคไตรอีนอล แกมม่า-โอไรซานอล และ ไฟโตสเตอรอล ซึ่งอนุมูลอิสระ (Free radicals) เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง
- รักษาสมดุลระบบประสาท และบำรุงสมอง
วิตามินอีคอมเพล็กซ์ในน้ำมันจมูกข้าวมีคุณสมบัติช่วยรักษาสมดุลของระบบประสาท บำรุงสมอง เสริมความจำป้องกันโรคสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
- ปรับสมดุลของระบบฮอร์โมนในสตรีวัยทอง
มีงานวิจัย ยืนยันคุณค่าของแกมม่า-โอไรซานอล ที่ช่วยปรับสมดุลของระบบสตรีวัยทอง และช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ (Hot Flashes) ได้
- บำรุงผิวพรรณ
น้ำมันจมูกข้าวมีสารที่ช่วยบำรุงผิวพรรณหลายชนิดเช่น วิตามินอีคอมเพล็กซ์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยให้ความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นแก่ผิวหนัง ลดเลือนริ้วรอย ต้านทานรังสี UV ช่วยป้องกันการเกิดกระ ฝ้า จุดด่างดำ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ที่สำคัญ สแควลีนเป็นสารไวท์เทนนิ่ง ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
- อุดมคุณค่าสารอาหารนานาชนิดที่ช่วยบำรุงร่างกาย
น้ำมันจมูกข้าว อุดมด้วยคุณค่าของสารนานาชนิดเช่น กรดอะมิโน สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยบำรุงร่างกาย
วิธีรับประทานเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รับประทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 1-2 ครั้ง เช้า ? เย็น หลังอาหาร
น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว เริ่ม 2 มกราคม 54
บรรจุ 30 แคปซูล ราคา 850 บาท น้ำมันจมูกข้าว 1000 มก. น้ำมันจมูกข้าวสาลี 200 มิลลิกรัม มิกซ์แคโรทีนอยด์ 16 มิลลิกรัม ให้สารแกมม่าออริซานอล 14.5 มก. มีสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในการปกป้อง คุ้มครองโรคเสื่อมได้สูงกว่า 100 เท่า โปรโมชั่น 3 กระปุก ฟรี 1 กระปุก
บรรจุ 30 แคปซูล ราคา 400 บาท เพื่อบำรุงผิวหน้าโดยเฉพาะ ให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย โดยใช้เข็มเจาะแคปซูลแล้วทาผิวหน้า
บรรจุ 60 แคปซูล ราคา 280 บาท
บรรจุ 60 แคปซูล ราคา 750 บาท ชนิดนี้ให้สารแกมม่าโอไรซานอล 21 มิลลิกรัม มากกว่าสินค้าทั่วไป 3 เท่า (ทั่วไปประมาณ 6.5-7.5 มิลลิกรัม) ให้สารวิตามินอี 10 มิลลิกรัม
บรรจุ 90 แคปซูล ราคา 500 บาท โปรโมชั่น ซื้อ กระปุกที่2 ราคา 480 กระปุกที่3 ราคา 450 บาท กระปุกที่ 4 เป็นต้นไป กระปุกละ 420 บาท ครบ 10 กระปุก แถมฟรี 1 กระปุก
จมูกข้าวชนิดชงดื่ม 15 ซอง 125 บาท
|
น้ำมันรำขัาวและจมูกข้าว90 แคปซูล
ราคาปกติ 720 บาท จำหน่ายเพียงกระปุกละ 500 บาท
โปรโมชั่น ซื้อ 10 กระปุก แถมฟรี 1 กระปุก
โทร. 08-5949-6949
|
|
|